อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย (พระนามเต็ม: ฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์ คาร์ล ลุดวิก โยเซฟ; ภาษาอังกฤษ: Franz Ferdinand Karl Ludwig Joseph von Habsburg-Lothringen, ภาษาฮังการี: Franz Ferdinand Karl Anik? Belschwitz M?ric B?lint Szilveszter G?mpi Bzoch J?nos Frajkor Ludwig Josef) ทรงเป็นอาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอสเต ประมุขแห่งพระราชอิสริยยศออสเตรีย-เอสเต ทรงเป็นเจ้าฟ้าชายแห่งฮังการีและโบฮีเมีย และองค์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอีกด้วย โดยพระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาททางพฤตินัย ไม่มีการสถาปนาอย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงเป็นองค์รัชทายาทจวบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์กะทันหัน โดยถูกลอบปลงพระชนม์โดยนักชาตินิยมหัวรุนแรงชาวเซอร์เบีย ที่เมืองซาราเยโว ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซึ่งขณะนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีอยู่ หลังจากพระองค์และพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์นั้น ทำให้ออสเตรีย-ฮังการี ประกาศสงครามกับเซอร์เบียในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทันที
อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์ประสูติเมื่อวันที่18 ธันวาคม พ.ศ. 2406 ที่เมืองกราซ ประเทศออสเตรีย เป็นพระโอรสองค์โตในอาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิกแห่งออสเตรีย (พระโอรสในอาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล และทรงพระอนุชาในจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ) และพระชายาองค์ที่ 2 ของพระองค์ เจ้าหญิงมาเรีย แอนนันซิเอต้าแห่งทู ซิชิลีส์ เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชันษา 12 ปี ดยุกฟรันเซสโกที่ 5 แห่งโมเดนา พระปิตุลาของพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์กะทันหัน ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระราชอิสริยยศอาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอสเตและดยุกแห่งโมเดนาต่อจากพระองค์ทันที
ตั้งแต่พระองค์ประสูติ ประชาชน ราชนิกุลชั้นสูงหรือบุคคลคณะต่างๆ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าพระองค์จะทรงเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการี พระองค์ทรงได้รับการศึกษาอย่างเรียบง่าย โดยอาจารย์ของพระองค์นั้นเน้นสอนในทางประวัติศาสตร์และศีลธรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยอาจารย์ของพระองค์คือนักประวัติศาสตร์ ออนโน คล๊อป ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2419ถึงพ.ศ. 2428 และในปีพ.ศ. 2425 พระองค์ได้ทรงเข้าร่วมกองทัพราชนาวี โดยพระองค์ได้ทรงพระยศเป็นร้อยโท
เมื่อทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงงานอดิเรกเป็นประจำ นั่นคือล่าสัตว์และท่องเที่ยว โดยพระองค์ทรงสามารถล่ากวางได้มากกว่า 5,000 ตัว และพระองค์ทรงชอบเสด็จประพาสไปยังประเทศต่างๆด้วย โดยเมื่อปีพ.ศ. 2425 พระองค์เสด็จประเทศอิตาลี 2 ปีต่อมา เสด็จประพาสประเทศอียิปต์ ปาเลสไตน์ ประเทศซีเรียและประเทศตุรกี (ซึ่งขณะนั้นเป็นจักรวรรดิออตโตมัน) และปีพ.ศ. 2432 เสด็จเยือนประเทศเยอรมนี (ซึ่งขณะนั้นเป็นจักรวรรดิเยอรมัน)
เมื่อปีพ.ศ. 2432 ชีวิตของพระองค์ถูกเปลี่ยนดังละคร เมื่อพระญาติของพระองค์ อาร์ชดยุกรูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ ทรงสิ้นพระชนม์กะทันหันจากการฆ่าตัวตายที่ คฤหาสน์ล่าสัตว์ที่มาเยอร์ลิ่ง รัฐโลเวอร์ ออสเตรีย ประเทศออสเตรีย ทำให้อาร์ชดยุกคาร์ล ลุดวิก พระบิดาของพระองค์เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการี ทำให้พระองค์ทรงอยู่ลำดับที่ 2 แห่งการสืบสันตติวงศ์ ต่อมาพระบิดาของพระองค์ทรงสละสิทธิ์การเป็นองค์รัชทายาท ไม่กี่วันหลังจากที่พระองค์ทรงได้รับตำแหน่ง โดยทรงสละตำแหน่งให้พระโอรสของพระองค์เอง ทำให้อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์ทรงเป็นองค์รัชทายาท แต่ทรงเป็นองค์รัชทายาททางพฤตินัย ไม่มีการสถาปนาอย่างเป็นทางการ
เมื่อปีพ.ศ. 2438 พระองค์ทรงได้พบกับ เค้านท์เตสโซฟี โชเท็ค ซึ่งเป็นนางพระกำนัลของอาร์ชดัชเชสอิสซาเบลล่า ซึ่งเป็นพระชายาในอาร์ชดยุกเฟรเดอริค ดยุคแห่งเทสเชน โดยพระองค์เสด็จเยี่ยมพระญาติของพระองค์ที่ พระตำหนักของอาร์ชดยุกเฟรเดอริก ในเมืองเพรสบูร์ก (ปัจจุบันคือเมืองบราติสลาวา เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย) โดยพระองค์และโซฟีทรงมีการติดต่อหากันอย่างลับๆ โดยโซฟีได้เขียนจดหมายมาหาพระองค์ระหว่างที่พระองค์ทรงอยู่ในระยะพักฟื้นจากโรควัณโรคหลังจากเสด็จกลับจากเกาะลอว์ชิน บนทะเลอาเดรียติก ประเทศโครเอเชีย ทั้งสองได้เก็บความสัมพันธ์นี้อย่างลับๆมาเป็นเวลากว่า 2 ปี สำหรับฝ่ายโซฟีนั้น ครอบครัวของเธอไม่ได้เป็นเชื่อพระวงศ์แม้แต่น้อย ถึงแม้ว่า ถ้านับถอยหลังบรรพบุรุษของครอบครัวนั้น จะเห็นว่า บรรพบุรุษทางแม่ของโซฟีนั้น เป็นเจ้าหญิงแห่งบาเดน, โฮเฮนโซเลิร์น-เฮชินเจน, และ ลิกเตนสไตน์ โดยกฎมณเฑียรบาลเรื่องการอภิเษกสมรสนั้นระบุว่า จะต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าชายหรือเจ้าหญิงที่เป็นเชื้อพระวงศ์ยุโรปด้วยกันเท่านั้น
ในตอนแรกนั้นอาร์ชดัชเชสอิสซาเบลลาทรงพระดำริว่าอาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์ผู้เป็นพระนัดดาทรงหลงรักหนึ่งในพระธิดาของพระองค์ แต่เมื่อปีพ.ศ. 2441 พระองค์ทรงแอบเข้าไปในห้องของพระนัดดา เพื่อทรงค้นอัลบั้มพระฉายาลักษณ์ ทรงหวังว่าจะทรงเห็นพระรูป แต่แทนที่พระองค์จะทรงเห็นพระรูปของพระธิดาของพระองค์ กลับทรงเห็นโซฟี นางข้าหลวงแทน ทำให้โซฟีถูกขับออกจากตำแหน่งนางข้าหลวง และถูกขับออกจากวังด้วย
ด้วยความที่พระองค์ทรงหลงรักโซฟีหัวปักหัวปำ พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะทรงอภิเษกสมรสกับสตรีคนใดเลย สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 13 ซาร์นิโคไลที่ 2 แห่งรัสเซียและจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี ทรงร่วมมือกันเจรจากับจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ โดยพระองค์ทรงกังวลว่าอาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์จะทำให้พระราชวงศ์เสื่อมเสีย หลังจากที่ทั้ง 2 พระองค์ทรงมีปากเสียงกันมาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ในที่สุด อีก 1 ปีต่อมา จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟมีพระบรมราชานุญาตให้อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์สามารถอภิเษกสมรสกับโซฟีได้ แต่ทรงมีข้อแม้ว่าการอภิเษกสมรสครั้งนี้จะเป็นการสมรสแบบมอร์แกนเนติคกล่าวคือไม่ได้อยู่ในกฎมณเฑียรบาล โดยเป็นการแต่งงานของชายที่สูงศักดิ์กับหญิงต่ำต้อยกว่า เมื่อทรงมีทายาท พระราชบุตรของทั้งสองจะไม่มีสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์และจะไม่มีสิทธิ์อยู่ในลำดับการสืบสันตติวงศ์อีกด้วย และนอกจากนี้ เมื่ออภิเษกสมรสกันแล้ว โซฟีผู้เป็นฝ่ายหญิงจะไม่มีสิทธิ์ในการดำรงพระอิสริยยศของพระสวามี และเมื่อปรากฏต่อสาธารณชน โซฟีก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะปรากฏตัวต่อสาธารณชนเคียงข้างผู้เป็นพระสวามี และก็จะไม่มีสิทธิ์นั่งบนพระราชรถขบวนเสด็จอีกด้วย จนกว่าจักรพรรดิจะทรงอนุญาต
ทั้งสองทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 ณ เมืองไรช์สตัดท์ (ปัจจุบันคือเมืองซาคูพาย) โบฮีเมีย โดยอภิเษกสมรสครั้งนี้จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟไม่ทรงเข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย ไม่มีแม้แต่พระอนุชาและพระขนิษฐาของพระองค์เลย จะมีก็แต่อาร์ชดยุกและอาร์ชดัชเชสบางพระองค์เท่านั้น รวมไปถึงพระมารดาทูนหัวของพระองค์ อาร์ชดัชเชสมาเรีย เมเรซ่าและพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ การอภิเษกสมรสครั้งนี้ถือเป็นการอภิเษกสมรสแบบเงียบ ๆ หลังจากการอภิเษกสมรส โซฟีได้รับพระราชทานพระยศเป็น เจ้าหญิงแห่งโฮเฮนเบิร์ก (อังกฤษ: Her Serene Highness The Princess of Hohenberg; เยอรมัน: Ihre Durchlaucht F?rstin von Hohenberg) และต่อมาในปีพ.ศ. 2452 โซฟีได้ดำรงพระอิสริยศักดิ์สูงขึ้นเป็น ดัชเชสแห่งโฮเฮนเบิร์ก (en.: Her Highness The Duchess of Hohenberg, de.: Ihre Hoheit Herzogin von Hohenberg) โดยพระยศนี้อาจจะทำให้โซฟีดูสูงศักดิ์ขึ้น แต่ก็ยังให้ความสำคัญน้อยเช้นเดิม อย่างเช่นเมื่อมีงานเลี้ยงพบปะของพระราชวงศ์อิมพีเรียล โซฟีก็ถูกแยกให้อยู่ห่างพระสวามีของพระองค์
อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์และดัชเชสแห่งโฮเฮนเบิร์กมีพระธิดา 1 พระองค์ และพระโอรส 2 พระองค์ โดยทุกพระองค์นี้มิได้ทรงดำรงอยู่ในราชวงศ์ฮับส์บูร์กเลย ไม่ว่าจะเป็นราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอร์แรน หรือฮับส์บูร์ก-โลทรินเจน แต่ทุกพระองค์จะทรงดำรงในราชสกุลใหม่คือ โฮเฮนเบิร์ก (von Hohenberg) จึงถือได้ว่าอาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์ทรงเป็นต้นราชสกุลโฮเฮนเบิร์ก
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2457 เวลา 11 นาฬิกา 15 นาที อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดินันด์และดัชเชสโซฟี พระชายาทรงถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว นครหลวงของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาซึ่งขณะนั้น ยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ทั้งสองพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์โดยกาฟรีโล พรินซิป หนึ่งในสมาชิกกลุ่มแบล็คแฮนด์ (???? ????/Tsrna Ruka) ซึ่งการลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยก่อนหน้านี้ ทั้งสองพระองค์ทรงเกือบถูกโจมตีโดยระเบิดที่หนึ่งในสมาชิกกลุ่มแบล็คแฮนด์ได้ขว้างมา แต่โชคดีที่ระเบิดพลาดไป แต่พลเมืองก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองพระองค์จึงเสด็จเยี่ยมพลเมืองที่ได้บบาดเจ็บในครั้งนี้ แต่ในขณะที่ทั้งสองพระองค์กำลังเสด็จไปเยี่ยมผู้ปะสบภัยที่โรงพยาบาลนั้น นายพรินซิปได้เห็นทั้งสองพระองค์ จึงวิ่งพรวดเข้าไปหาราชรถแล้วยิงไปที่ดัชเชสโซฟีโดยทันที จากนั้นก็ยิงอาร์ชดยุกอีกหลายนัดเข้าที่พระองค์ทันที ท่ามกลางทหารและประชาชนทั้งหมื่นคนที่มารอเฝ้ารับเสด็จ การลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงไปถึงลัทธิชาตินิยม ลัทธิจักรวรรดินิยม ทหารและระบบสหพันธ์ ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเริ่มขึ้นหลังจากการลอบปลงพระชนม์เพียง 2 เดือนโดยออสเตรีย-ฮังการีได้ประกาศสงครามกับเซอร์เบีย
พระศพอาร์ชดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์และดัชเชสโซฟีถูกฝังไว้ที่ปราสาทอาร์ทสเต็ทเท็น ซึ่งเป็นพระราชฐานของราชสกุลโฮเฮนเบิร์ก ประเทศออสเตรีย
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/อาร์ชดยุกฟรันซ์_แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย